หลวงปู่บุญมี ปริปุณฺโณ
หลวงปู่บุญมี ปริปุณฺโณ พระภิกษุฝ่ายธรรมยุติกนิกายรูปสำคัญในประเทศไทย ท่านเป็นศิษย์ของ พระธรรมวิสุทธิมงคล (บัว ญาณสมฺปนฺโน) ที่มีปฏิปทางดงามรูปหนึ่ง เคยดำรงตำแหน่งเจ้าอาวาสวัดป่านาคูณและเจ้าอาวาสวัดป่าศิลาพร จังหวัดยโสธร รวมถึงเป็นพระอาจารย์ของท่านอาจารย์นที ภูผาธรรมอีกด้วย
ชาติกำเนิด
หลวงปู่บุญมี ท่านถือกำเนิด เมื่อวันที่ ๒ ธันวาคม พ.ศ.๒๔๖๙ ตรงกับแรม ๑๓ ค่ำ เดือน ๑๒ ปีขาล ณ บ้านหนองแสง ต.สิงห์ อ.ยโสธร จ.อุบลราชธานี (ปัจจุบันเป็น จ.ยโสธร)
บรรพชาอุปสมบท
ท่านอุปสมบท เมื่อวันปวารณาออกพรรษา ตรงกับวันเสาร์ที่ ๑๙ ตุลาคม ๒๔๘๙ เวลา ๑๓.๓๕ น. ณ วัดสร่างโศก อ.ยโสธร จ.อุบลราชธานี (ปัจจุบันคือ วัดศรีธรรมาราม อ.เมือง จ.ยโสธร) โดยมี พระครูพิศาลศีลคุณ (พระอาจารย์โฮม วิสารโท) เป็นพระอุปัชฌาย์ พระมหามี เป็นพระกรรมวาจาจารย์ พระปลัดลุน เป็นพระอนุสาวนาจารย์ ได้รับฉายาเป็นภาษาบาลีว่า “ปริปุณโณ” แปลว่า “ผู้เปี่ยมด้วยบุญ” เมื่อได้รับการบรรพชาอุปสมบทแล้ว จึงกลับไปอยู่จำพรรษาที่วัดป่าหนองแสง
เมื่อบวชพระพรรษาแรกนี้ ท่านได้ศึกษานักธรรมไปด้วยจนสามารถสอบได้นักธรรมชั้นโท ระหว่างนั้นมีโอกาสเป็นกรรมการคุมสอบนักธรรมชั้นตรีที่วัดบ้านสิงห์ ซึ่งสมัยนั้นทั้งฝ่ายธรรมยุตและมหานิกายสอบร่วมกัน ปีต่อมาจึงได้สอบธรรมสนามหลวงนักธรรมชั้นเอกที่สำนักบ้านป่าติ้ว อำเภอป่าติ้ว ซึ่งมีผู้เข้าสอบนักธรรมชั้นเอกทั้งหมดในปีนั้น ๒๕ รูป เป็นอันว่าสอบตกทั้งหมด
ในช่วงพรรษานั้น เมื่อถึงเวลาลงอุโบสถ สำนักต่าง ๆ ที่ตั้งอยู่รอบ ๆ เช่น วัดป่าบ้านหนองแสง วัดป่าบ้านนิคม เป็นต้น ต้องเดินไปที่วัดศรีฐานใน เพราะเป็นสำนักใหญ่ที่มีครูบาอาจารย์พระกรรมฐานผู้ใหญ่จำนวนมาก ทำให้มีโอกาสได้กราบได้พบครูบาอาจารย์ผู้ใหญ่อยู่บ่อยครั้ง ได้รับอุบายการภาวนาพร้อมทั้งได้ศึกษาวัดปฏิบัติของพระกรรมฐานไปในตัวด้วย
คู่กัลยาณมิตร
หลังจากสอบนักธรรมเสร็จแล้ว ท่านเดินทางมาที่วัดศรีฐานในจนได้พบกับกัลยาณมิตรของสำคัญที่พึ่งเป็นพึ่งตายอาศัยช่วยเหลือกันมา ซึ่งก็คือองค์หลวงปู่เพียร วิริโย ที่เดินทางมาจากวัดป่าบ้านนิคม
นอกจากจะเป็นอันเตวาสิกในองค์หลวงตามหาบัวเหมือนกันแล้ว ท่านทั้งสองยังเป็นสัทธิวิหาริกในพระอุปัชฌาย์รูปเดียวกันด้วย ทั้งถือกำเนิดในปีเดียวกันและในจังหวัดเดียวกัน องค์หลวงปู่บุญมีเมตตาเล่าให้ฟังว่า “พระอาจารย์เพียรเกิดก่อนผม ๕๖ มื้อ(วัน)” ขณะเดียวกันหลวงปู่เพียรด้วยกล่าวถึงหลวงปู่บุญมี ความตอนหนึ่งว่า “กับท่านอาจารย์บุญมีนั้นได้เป็นหมู่กันเป็นเพื่อนกัน ได้สร้างบารมีมาด้วยกัน หลายภพหลายชาติแล้ว”
แสวงหาครูบาอาจารย์
ในระหว่างนั้นเกียรติคุณอันดีงามขององค์หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต ต่างขึ้นชื่อลือชาในปฏิปทาพระธุดงค์กรรมฐาน ทำให้ท่านเป็นเสมือนมงกุฎของพระกรรมฐานที่งามเด่นอยู่เสมอ ทำให้พระกรรมฐานรุ่นต่อมาต่างต้องการไปกราบฟังธรรมภาคปฏิบัติเพื่อเป็นแนวธรรมแนวทางต่อไป ดังนั้นท่านกับองค์หลวงปู่เพียร จึงหวังจะเดินทางไปจากฟังธรรมจากองค์หลวงปู่มั่นด้วยสักครั้ง แต่ก่อนจะไปกราบองค์หลวงปู่มั่น ได้ปรึกษากันว่าจะไปจากพระธาตุพนมก่อน แต่ก่อนจะไปกราบนมัสการพระธาตุพนม องค์หลวงปู่บุญมีและองค์หลวงปู่เพียรได้เดินทางออกจากยโสธร บ้านนิคม และพักที่สำนักขององค์หลวงปู่ดี ฉันโน วัดป่าสุนทราราม บ้านกุดแห่ อำเภอเลิงนกทา ทำการตัดผ้า เย็บผ้า ย้อมผ้าอยู่หลายวัน พร้อมกันนั้นได้เห็นปฏิปทาจากองค์หลวงปู่ดี ฉนฺโนด้วย
กราบองค์หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต
แต่ก่อนจะเข้าพรรษาในปีนั้นคณะของพระอาจารย์คำสิงห์และพระอาจารย์สมแวะมาที่วัดหนองโดก โดยมีจุดหมายปลายทางอยู่ที่วัดป่าบ้านหนองผือ ดังนั้นท่านกับองค์หลวงปู่เพียรเห็นเป็นโอกาสอันดีที่จะได้กราบองค์หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต ก่อนเข้าพรรษา จึงเดินทางไปพร้อมกับคณะของพระอาจารย์คำสิงห์และพระอาจารย์สม
ในการเดินทางครั้งนั้นต้องพักค้างคืนกลางทางคืนหนึ่ง พอฉันเช้าเสร็จก็เดินทางกันต่อไปถึงวัดป่าบ้านหนองผือ แล้วรอโอกาสเพื่อขึ้นกราบ เมื่อได้โอกาสแล้วจึงพากันขึ้นไปกราบองค์หลวงปู่มั่นบนกุฏิ ท่านจึงให้โอวาทพอสมควร พอได้พบเจอองค์หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต ก็รู้สึกปิติยินดีอย่างยิ่งที่ได้เห็นพระผู้เป็นที่ขึ้นชื่อลือนามอย่างยิ่งในระหว่างนั้น แม้ว่าองค์หลวงปู่มั่นในคราวนั้นจะไม่ได้แสดงธรรมมากมายอะไร เพราะเป็นช่วงที่สุขภาพร่างกายของท่านไม่อำนวยมาก แต่ก็ทำให้เกิดกำลังใจ ในการประพฤติปฏิบัติในเวลาต่อมา
ขณะเดียวกันก็ได้พบเห็นกับหลวงตามหาบัว ญาณสมฺปนฺโน กำลังขยี้เปลือกมะพร้าวให้ยุ่ยแล้วนำใยส่วนนั้นมาทำเป็นที่นอนถวายองค์หลวงปู่มั่น หลวงตามหาบัวกลับไปเยี่ยมโยมมารดาแล้วได้ผ้าใหม่มา จึงนำมาเย็บเป็นที่นอนถวายพระอาจารย์มั่น เมื่อเห็นอย่างนั้นจึงได้เข้าไปช่วยหลวงตาขยี้เปลือกมะพร้าวเพื่อทำที่นอน ระหว่างนั้นพระอาจารย์มั่นอยู่ในระหว่างอาพาธมีอาการไอด้วย หลวงปู่บุญมีได้ยาอมตราเสือมาจึงนำไปถวายพระอาจายร์มั่น ศิษย์ทั้งฝ่ายพระ และฆราวาสต่างพยายามอย่างเต็มที่ในการดูแลรักษา รูปไหนมีอะไรก็เอาไปถวายท่าน และได้ช่วยกันแบ่งเบาภาระต่าง ๆ ตามหน้าที่ของแต่ละรูป
ในโอกาสนั้น ท่านได้พบเห็นครูบาอาจารย์มากมาย เพราะในช่วงบ่ายวันนั้นมีการประชุมสังฆอุโบสถโดยมีหลวงปู่สิงห์ทอง ธมฺมวโร เป็นองค์สวดปาติโมกข์ในที่ประชุมสงฆ์ ในสำนักวัดป่าบ้านหนองผือ
โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงปัจฉิมวัยของพระอาจารย์มั่น บางคราวจะมีครูบาอาจารย์ที่มีสำนักอยู่รอบ ๆ วัดป่าบ้านหนองผือจะมาร่วมอุโบสถและรับฟังโอวาทจากท่านถึงครั้งละ ๕๐ – ๖๐ รูป ซึ่งเป็นภาพที่หาดูได้ยากยิ่งในวงพระธุดงค์กรรมฐาน
หลวงปู่บุญมี ปริปุณฺโณ ได้อยู่ปฏิบัติอบรมธรรม กับท่านพระอาจารย์มั่น ภูริทตฺโต จนท่านละสังขารลงในปีเดียวกัน
ในพรรษาที่ ๕ (ปี พ.ศ. ๒๔๙๔) หลวงปู่บุญมี ได้กลับไปอยู่ศึกษาธรรมกับหลวงปู่อ่อน ญาณสิริ และในพรรษาที่ ๖ (ปี พ.ศ. ๒๔๙๕) หลวงปู่บุญมี ได้ไปอยู่ศึกษาธรรมกับหลวงตามหาบัว ญาณสมฺปนฺโน ที่วัด ป่าบ้านห้วยทราย อำเภอคำชะอี จังหวัดมุกดาหาร จากนั้นจึงติดตามหลวงตามหาบัว ญาณสมฺปนฺโน มาสร้างวัดป่าบ้านตาด จังหวัดอุดรธานี ตั้งแต่พรรษาที่ ๑๑ (ปี พ.ศ. ๒๕๐๐) และอยู่อบรมกรรมฐานกับหลวงตา มหาบัว เรื่อยมาจนถึงพรรษาที่ ๓๐ (ปี พ.ศ. ๒๕๑๙)
สมัยที่อยู่ที่วัดป่าบ้านตาด หลวงปู่บุญมี ท่านจะมีเมตตาโอบอ้อมอารีกับพระภิกษุรุ่นน้อง คอยให้คำแนะนำเรื่องธรรมวินัย บางครั้งเมื่อหลวงตาท่านดุ และไล่พระที่ทำผิดออกจากวัด หลวงปู่บุญมี ก็จะออกรับแทนพระผู้น้อยขอโอกาสให้กับภิกษุนั้น ๆ ความอนุเคราะห์เหล่านี้ หลวงปู่บุญมี ท่านจึงเปรียบเหมือนพี่ชายใหญ่แห่งวัดป่าบ้านตาด กอปรกับท่านเป็นพระที่มีจริยาวัตรงดงาม ดังคำที่หลวงตามหาบัวเคยกล่าวไว้ “..ท่านเพียร ท่านบุญมี เรียบร้อยเหมือนกันหมด ไม่มีด่างพร้อย เรียบร้อยในการปฏิบัติธรรมของท่าน ท่านเพียร ท่านบุญมี ท่านปฏิบัติเอาจริงเอาจังเหมือนกัน..”
จากนั้นหลวงปู่บุญมี ได้มาอยู่ปฏิบัติธรรมที่วัดถ้ำยานาโพธิ์ (ภูลังกา) อำเภอบ้านแพง จังหวัดนครพนม ตั้งแต่พรรษาที่ ๓๒ – ๔๒ (ปี พ.ศ. ๒๕๒๑ – ๒๕๓๑) จากนั้นท่านจึงมาสร้างวัดป่านาคูณ บ้านนาคูณ ตำบลบ้านค้อ อำเภอบ้านผือ จังหวัดอุดรธานี อยู่ตั้งแต่พรรษาที่ ๔๔ (ปี พ.ศ. ๒๕๓๓ – ๒๕๖๑)
ปฏิปทาที่งดงาม
ในวัดป่าบ้านตาด หลวงปู่บุญมี ปริปุณโณ เป็นพระที่มีอายุพรรษามาก รองจากหลวงตามหาบัว มักจะได้รับความไว้วางใจให้ดูแลกิจการงานภายในวัดเป็นอย่างมาก พอท่านอายุพรรษามากขึ้น พระเณรในวัดก็มากขึ้น กิจวัตรและข้อวัตรต่าง ๆ ภายในวัด หรือกระทั่งกุฏิที่พักของท่าน แทนที่ท่านจะให้พระหนุ่มเณรน้อยกระทำแทน หรือหลายๆ ครั้งเกี่ยวกับการปัดกวาดเช็ดถูศาลา เข็นน้ำใส่ตุ่มใส่ถัง ท่านก็ยังทำร่วมกันกับ พระหนุ่มทั่วไป เป็นการช่วยเหลือแบ่งเบาการงานข้อวัตรกิจวัตรของสงฆ์ จึงมักจะเห็นหลวงปู่บุญมี ปริปุณโณ และหลวงปู่ลี กุสลธโร ทำข้อวัตรร่วมกันกับพระหนุ่มเณรน้อยอยู่เสมอไม่มียกเว้น
กิจของสงฆ์ส่วนรวมภายในวัดป่าบ้านตาด เมื่อท่านได้รับมอบหมายลงมาจากองค์หลวงตามหาบัวแล้ว ในการที่ต้องปรึกษาหารือร่วมกัน หรือแบ่งงานที่ได้รับมอบหมายมาออกไป โดยที่ต้องอาศัยความเห็นจากหลายๆ ฝ่าย ซึ่งเป็นการประชุมลับๆ ของหมู่พระที่หลังวัด หรือที่เรียกเป็นการภายในว่า “สภาหนู” เป็นการกระจายงานออกไปให้ครอบคลุมเพื่อความเป็นระเบียบเรียบร้อย ไม่ให้เป็นภาระหนักใจของหลวงตา
พระพี่ชายใหญ่
ในเรื่องพระธรรมวินัยนั้นเป็นที่รู้กันดีว่าหลวงปู่บุญมี ปริปุณโณ เป็นผู้ที่มีความละเอียดลออ ท่านศึกษาตำรับตำราเกี่ยวกับพระวินัยมาอย่างละเอียด ดังนั้นจึงจะเห็นท่านให้คำแนะนำในรายละเอียดเล็ก ๆ น้อย ๆ เกี่ยวกับพระวินัยอยู่เสมอ
เป็นที่รู้กันดีว่าท่านเป็นพระที่มีความโอบอ้อมอารีอย่างสูงยิ่ง จะไม่เห็นท่านดุด่าว่ากล่าวพระหนุ่มเณรน้อยเลย ในเวลาที่มีเหตุการณ์อื่นใดภายในวัดที่ทำให้หลวงตาดุ ท่านก็จะออกรับแทนพระผู้น้อย บางคราวได้ให้กำลังใจเกี่ยวกับการโดนดุว่าหลวงตาท่านให้ขุมทรัพย์ หรือบางครั้งหลวงตาไล่พระออกจากวัด ได้ก็จะบากหน้าไปหาหลวงตาเพื่ออนุเคราะห์หนุ่มน้อยเรานั้น ความเมตตาอารีที่ท่านมีต่อพระรุ่นหลัง ไม่ว่าจะเป็นคำแนะนำ หรือการออกรับแทนน้อง ๆ ในกรณีต่าง ๆ ทำให้มีการเปรียบเทียบท่านเป็นเสมือนเป็นพระพี่ชายใหญ่ที่คอยดูแลน้อง ๆ ด้วยความโอบอ้อมอารี ความที่อยู่จำพรรษาที่วัดป่าบ้านตาดมายาวนาน ครูบาอาจารย์รูปอื่นอาจอยู่ศึกษาเป็นพระระยะเวลาสั้นๆ แล้วออกไปตั้งสำนักวัดวาอารามต่อไป แต่สำหรับองค์หลวงปู่บุญมีนั้น เป็นพระผู้ใหญ่ที่อยู่กับองค์หลวงตามหาบัวมาร่วม ๒๐ ปี ไม่ยอมออกไปตั้งวัดเหมือนพระรูปอื่น ทำให้องค์หลวงตามหาบัวมักจะขนานนามเรียกองค์หลวงปู่บุญมีว่า “ธรรมใหญ่” หรือ “ท่านใหญ่” อยู่เสมอ
พระผู้ใหญ่ที่ไม่ลืมตน
เมื่อกล่าวถึงยุคสมัยนั้นย้อนหลังไปปี พ.ศ.๒๕๒๐ ลงไป ท่านก็ยังทำตัวเป็นพระเล็กพระน้อยอยู่เหมือนเดิม พระที่เคยร่วมจำพรรษากับท่านจะปัดกวาดถูกุฏิท่านก็ไม่ให้ทำ ดังนั้นพระที่มีพรรษาน้อยบางครั้งต้องได้ลักทำข้อวัตรเหล่านี้เอาบุญตอนที่ท่านไม่อยู่ เพราะถ้าอย่างนั้นท่านก็ไม่ให้ทำ
การเข้าไปรับบาตรท่านไปล้างหลังฉันเสร็จก็เหมือนกัน ถ้าจะขึ้นไปรับบาตรท่านไปล้างเลยไม่ได้ ต้องให้ท่านถือลงมาจากศาลาเสียก่อน เป็นการให้ความเคารพหลวงตาด้วย จากนั้นพระจึงรีบเข้าไปรับไปล้างให้ ซึ่งท่านก็มาผ่อนผันให้ล้างในภายหลัง ถ้าเป็นยุคแรก ๆ แม้ท่านจะอายุพรรษามากแล้วก็ยังทำเอง ท่านให้เหตุผลว่าท่านยังเป็นพระหนุ่มยังแข็งแรงอยู่
เวลาที่ต้มน้ำแก่นขนุนซักผ้า เมื่อท่านจะมาซักผ้านั้นพระก็จะกุลีกุจอเข้าไปขอผ้าจากท่านมาซักให้ ท่านก็อนุโลมให้แต่ก็กำชับให้ดูแลผ้า ทั้งในการตาก การกลับผ้า เพื่อไม่ให้เป็นรอยหรือเพื่อป้องกันจากสัตว์ หรือแมลงที่อาจมากัดผ้า ซึ่งเป็นสิกขาบทวินัยของพระในการดูแลผ้าจีวร มีเรื่องราวที่เกี่ยวเนื่องกับการตากผ้าดูแลผ้าในยุคนั้น จะไม่มีใครดูดบุหรี่แล้วไปเก็บผ้าหรือตากผ้าเลย ก็เหตุการณ์นี้องค์หลวงตาเคยดุพระอย่างหนักทำให้พระถือเป็นหลักปฏิบัติอย่างเคร่งครัด
เคารพซึ่งกันและกัน
หลวงปู่บุญมี ปริปุณฺโณ และหลวงปู่ลี กุสลธโร ท่านทั้งสองเคยอยู่ร่วมกันมาตั้งแต่ยุควัดป่าห้วยทรายเรื่อยมาถึงยุคบุกเบิกสร้างวัดป่าบ้านตาด ทำให้มีความสนิทสนมคุ้นเคยกัน เคารพซึ่งกันและกัน รวมด้วยช่วยกันทำกิจที่ได้รับมอบหมายมาจากองค์หลวงตามหาบัวอย่างแข็งขัน แม้ภายหลังท่านทั้งสองได้ออกจากวัดป่าบ้านตาดไปแล้ว แต่ความเคารพช่วยเหลือเกื้อกูลกันยังมีมาโดยสม่ำเสมอถึงทุกวันนี้
พระผู้ใหญ่ขององค์หลวงตาออกเที่ยววิเวก
วัดป่าถ้ำหีบแห่งนี้เป็นป่าเขาที่เหมาะกับการปฏิบัติธรรมภาวนา มีครูอาจารย์ลูกศิษย์ขององค์ พระอาจารย์มั่น ภูริทัตโต แวะมาพักภาวนาอยู่เป็นประจำ ทั้งเป็นสถานที่ขึ้นชื่อว่ามีภูมิเจ้าที่แรงพระที่มาอยู่ในที่แห่งนี้ไม่ปฏิบัติภาวนาก็จะมีอันเป็นไป
ในปี พ.ศ.๒๕๒๐ ก่อนเข้าพรรษา มีพระเถระผู้ใหญ่ ๒ รูป คือหลวงปู่บุญมี ปริปุณฺโณ และหลวงปู่ลี กุสลธโร ออกมาเที่ยววิเวกพักภาวนาอยู่ที่นี่ พอใกล้จะเข้าพรรษาหลวงปู่ลีจึงกลับเข้าไปจำพรรษาที่วัดป่าบ้านตาด ในพรรษานั้นหลวงปู่พงษ์ ธมฺมาภิรโต ท่านประจำอยู่ที่วัดถ้ำหีบมาก่อนหน้านี้แล้ว เมื่อมีพระเถระผู้ใหญ่ที่เป็นศิษย์รุ่นใหญ่ขององค์หลวงตามหาบัว ญาณสมฺปนฺโน มาพักภาวนาทำให้พระผู้น้อยรู้สึกอุ่นใจที่ได้อยู่ใกล้ชิดศิษย์องค์สำคัญของหลวงตามหาบัว ญาณสมฺปนฺโน ยิ่งเมื่อได้รับรู้ถึงที่มาที่ไปว่า หลวงตาส่งออกมา ก็ยิ่งรู้สึกปีติยินดี เพราะเป็นไปได้ยากมากที่จะมีพระเถระผู้ใหญ่ออกมาเที่ยววิเวก พร้อมกันสององค์ เพราะโดยปกติทั้งหลวงปู่บุญมี ปริปุณฺโณ และหลวงปู่ลี กุสลธโร ต่างก็แทบจะไม่ได้ออกมาจากวัดป่าบ้านตาดได้โดยง่าย
แต่แล้วก่อนจะเข้าพรรษาพระอาจารย์อินทร์ถวาย สนฺตุสฺสโก ได้เขียนจดหมายกราบเรียนถึงหลวงปู่บุญมีกับหลวงปู่ลีว่า ขอพระผู้ใหญ่คืนไปจำพรรษาวัดป่าบ้านตาด ๑ องค์ เพราะนอกจากองค์หลวงตาแล้วไม่มีพระผู้ใหญ่ที่คล่องงานอยู่ด้วย ทำให้พระอาจารย์อินทร์ถวายรู้สึกเป็นภาระหนักที่ท่านต้องรับงานจากองค์หลวงตาโดยตรง เพราะท่านอายุพรรษายังไม่มาก ดังที่หลวงปู่บุญมีได้กล่าวถึงเหตุการณ์ในช่วงนั้นไว้ว่า “ปีที่อาตมาออกมาจากบ้านตาด อาจารย์ลี ปีนั้นออกไปเที่ยวภูจ้อก้อวัดอาจารย์หล้า เขมปตฺโต กลับมาพบกันที่บ้านหนองกอง เราถึงตอนเช้า อาจารย์ลีมาตอนเย็น รุ่งเช้าฉันเสร็จพ่อครูตุ้มเอารถมารับไปจำพรรษาถ้ำหีบ ก่อนเข้าพรรษาท่านอินทร์เขียนจดหมายมา พระผู้ใหญ่ไม่มี ไปอยู่ที่นั่นหมด ขอคืนองค์หนึ่ง เราให้อาจารย์ลีกลับไป เราจำพรรษาถ้ำหีบ”
ในปีนั้นท่านจึงให้องค์หลวงปู่ลีกลับเข้าไปจำพรรษาบ้านตาด เพราะได้ออกมาเที่ยววิเวกอยู่บ่อยครั้งแล้ว ส่วนท่านพึ่งจะได้ออกมาเที่ยววิเวก เมื่อตกลงกันได้แล้วองค์หลวงปู่ลีจึงกลับเข้าไปวัดป่าบ้านตาด ส่วนท่านก็จำพรรษาที่วัดป่าถ้ำหีบ
ก่อนที่ท่านจะมาจำพรรษาอยู่ที่วัดป่าถ้ำหีบนี้ ท่านอยู่วัดป่าบ้านตาดมาเป็นเวลาร่วม ๒๐ ปี ตั้งแต่ ปี พ.ศ.๒๕๐๐ โดยมีเพียงพรรษาเดียวคือปี พ.ศ.๒๕๐๒ ที่ท่านไปจำพรรษาที่วัดเทพประชาบำรุง ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากบ้านหนองแสง เพราะจะได้อยู่ใกล้มารดาซึ่งป่วยอยู่ในขณะนั้น
องค์หลวงตามหาบัว ญาณสมฺปนฺโน เทศน์กล่าวถึงการที่องค์หลวงปู่บุญมี ออกมาภาวนาในช่วงปีนั้น เมื่อวันที่ ๒๓ มิถุนายน พ.ศ.๒๕๕๒ ว่า “ท่านบุญมีอยู่กับเรามาร่วม ๓๐ ปี เราล่ะไล่ออกไป นี่จะเป็นพ่อตาแม่ยายได้แล้วนะนี่ จะมาเป็นลูกเขยใหม่อยู่ทำไม ไป ไล่ไป ให้ท่านเพียรไปนั่น ท่านใหญ่ก็ไปด้วยกัน เลยไปอยู่ที่นั่นล่ะ”
อีกครั้งที่องค์หลวงตากล่าวถึงศิษย์ผู้ใหญ่ ในคราวถวายเพลิงสรีระสังขารหลวงปู่เพียร วิริโย ณ วัดป่าหนองกอง อ.บ้านผือ จ.อุดรธานี เมื่อวันที่ ๒๓ มิถุนายน พ.ศ.๒๕๕๒ “ท่านเพียร-ท่านบุญมีที่ติดสอยห้อยตามเรามาตั้งแต่ต้นเลย เราล่ะเป็นคนไล่ออกมานี่ มันควรจะเป็นพ่อตาแม่ยายได้แล้ว เราว่าอย่างนั้น แล้วเป็นลูกเขยใหม่อยู่อย่างไร ไป เลยไล่มาท่านเพียรมาทางนี้ ท่านบุญมีก็มาด้วยกัน อยู่กับเราร่วม ๓๐ ปี ท่านเพีย ร-ท่านบุญมีเรียบร้อยเหมือนกันหมด ไม่มีด่างพร้อย เรียบร้อยการปฏิบัติของท่าน ท่านเพียงกับท่านบุญมีท่านปฏิบัติเอาจริงเอาจังเหมือนกัน ที่อยู่กับเรานานคือท่านสิงห์ทอง พอดีท่านตายเสีย ท่านสิงห์ทองก็อยู่นานแต่ตายก่อน ท่านเพียงกับท่านบุญมีนี้นานนะ เราจึงให้ออกมา ท่านสิงห์ทองเป็นพระชอบตลก นิสัยชอบเล่น ชอบตลกนะท่านสิงห์ทอง แต่อันนี้เรียบ ๆ ท่านเพียร ท่านบุญมีเรียบ ๆ แต่ท่านสิงห์ทองเป็นนิสัยชอบตลก ชอบตลกนิสัยเป็นมาดั้งเดิม ที่เป็นลูกศิษย์มานมนานคือท่านสิงห์ทองท่านเพียงท่านบุญมี ๓ องค์…”
ปัจฉิมวัย
หลวงปู่บุญมี ปริปุณฺโณ พักจำวัดรักษาธาตุขันธ์ อยู่ที่ วัดป่าศิลาพร ตำบลหนองเป็ด อำเภอเมืองยโสธร จังหวัดยโสธร จนถึงมรณภาพเมื่อวันพฤหัสบดีที่ ๑๒ กรกฎาคม พ.ศ.๒๕๖๑ เวลา ๐๐.๔๕ น. สิริอายุได้ ๙๑ ปี ๒๒๒ วัน พรรษา ๗๑ มีพิธีพระราชทานเพลิงศพเมื่อวันที่ ๑๘ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๖๑ ณ วัดป่าศิลาพร ตำบลหนองเป็ด อำเภอเมืองยโสธร จังหวัดยโสธร